ในการจัดกระเป๋าสัมภาระเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปยังต่างประเทศนั้น ที่จริงจะบอกว่าเป็นเรื่องง่ายก็ง่าย แต่เมื่อหลงลืมของสำคัญไปแล้วนั่นแหละถึงจะคิดได้ว่าที่จริงแล้วเรื่องที่ว่าง่ายนั้นก็มักจะมีความเผลอเรอบกพร่องอยู่บ่อยๆ ด้วยการลืมนั่นลืมนี่อย่างสม่ำเสมอ
ทีนี้เราจะมาลองทำ Check List กันครับ ว่าในแต่ละครั้งที่เราจะต้องออกเดินทางไปยังต่างประเทศนั้น ในส่วนของกระเป๋าเดินทางนั้นเราควรต้องจัดเตรียมแบบไหน อย่างไร ?
วันนี้เรามี 10 ข้อควรรู้ในการจัดกระเป๋าเดินทางมาคุยกันครับ
1. จัดเตรียมเสื้อผ้าไปให้พอดี วางแผนไว้เลยครับว่าชุดไหนจะใส่ซ้ำ หรือ ว่าชุดไหนจะใส่ครั้งเดียว และ ควรดูตารางเดินทางของเราด้วยว่าเรามีการเปลี่ยนที่พักบ่อยมากน้อยแค่ไหน ? ถ้าเป็นการพักในที่เดียวหลายๆคืน เรายังมีเวลาที่จะซักเสื้อผ้าบางส่วนได้ แต่ถ้าต้องเดินทางโดยตลอดแบบมีที่พักไม่ซ้ำกันเลย แบบนี้แนะนำว่าเอาเสื้อผ้าไปตามจำนวนวันเลยดีกว่า
2. เตรียมกระเป๋าเดินทางใบเล็กสำหรับนำติดตัวขึ้นเครื่องบินไปด้วย หลายคนอาจจะอยากเดินทางแบบสวยๆ หล่อๆ ไม่มีสัมภาระรกรุงรังติดตัวขึ้นเครื่องไปด้วย แต่เชื่อเถอะครับว่าควรจัดให้มีกระเป๋าเดินทางติดตัวใบเล็กไปกับเราสักใบ จะเป็นการดีที่สุด ซึ่งในนั้นนอกจากจะเป็นที่เก็บของสิ่งสำคัญที่เราต้องเอาติดตัวแล้วพวกเราควรจะจะมีเสื้อผ้าสักชุดนึงใส่ไปในกระเป๋าเดินทางนี้ด้วย เพราะอะไรน่ะเหรอครับ เพราะว่าในการเดินทางของเรานั้นบางทีกระเป๋าเดินทางของเราอาจจะตกหล่นอยู่ที่สนามบิน หรือ ติดเครื่องบินไปกับสายการบินและเส้นทางอื่นๆ ได้ แม้ว่าโอกาสจะเกิดขึ้นมีไม่มากก็ตาม ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์ด้งกล่าว ท่านก็จะได้มีเสื้อผ้าสำรองไว้ใช้สักวันหรือสองวันในระหว่างระอกระเป๋าเดินทางใบจริงของท่านที่ทางสายการบินจะจัดส่งตามมาให้นั่นเองครับ (ในกรณีที่สัมภาระสูญหายหรือ
ไม่มากับเราตามกำหนดนั้น โดยปกติทางสายการบินจะมีเงื่อนไขในการรับผิดชอบอยู่ เช่น ชดเชยค่าจัดหาเสื้อผ้าหรือของใช้จำเป็นในเบื้องต้น ฯลฯ ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็อย่าลืมแจ้งให้สายการบินทราบก่อนที่จะออกเดินทางพ้นจากสนามบินนะครับ จะได้สามารถทำเอกสารได้อย่างสะดวก และนอกจากสายการบินแล้ว ก็อย่าลืมเช็คกรมธรรม์ประกันสุขภาพของเราด้วยนะครับว่าคุ้มครองกรณีนี้ด้วยหรือไม่ ? เพราะหลายบริษัทก็ระบุความคุ้มครองแบบนี้ไว้บ้างเหมือนกันครับ
3. กระเป๋าเดินทางที่ใช้ควรเป็นกระเป๋าเดินทางแบบทีมีล้อลากที่จะสามารถให้เราเคลื่อนย้ายได้สะดวกด้วยการเข็นหรือลากไปนะครับ และแน่นอนครับแบบสี่ล้อก็ย่อมดีกว่าแบบสองล้อ เพราะจะทำให้เคลื่อนทีได้เบาแรงกว่ามากเลยทีเดียว นอกจากกระเป๋าที่ควรมีล้อเป็นส่วนประกอบแล้ว วัสดูของกระเป๋าเราก็ควรพิจารณาด้วยเช่นกันครับ
บางคนอาจจะใช้วัสดุทึบแบบพลาสติก หรือ ไฟเบอร์กลาส และ บางคนอาจมีกระเป๋าเดินทางแบบผ้า ซึ่งถ้าจะให้ผมแนะนำ กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่จะใช้โหลดไปกับเครื่องบินนั้น ควรเป็นกระเป๋าที่ปิดทึบ ทรงแข็ง และ มีที่ล็อคที่สามารถตั้งรหัสได้ เพราะเวลาที่พนักงานสนามบินขนย้ายกระเป๋าเดินทางของเรานั้น หลายคนอาจจะเคยเห็นวิธีการขนย้ายของพวกเขาครับว่า บางแห่งก็ไม่มีความปราณีปราศัยเอาซะเลย ซึ่งถ้าเราใช้กระเป๋าทรงอ่อนหรือกระเป๋าผ้าแล้ว เป็นไปได้มากทีเดียวครับที่ข้าวของเครื่องใช้ภายในกระเป๋าของเรามีโอกาสที่จะเสียหายได้มากทีเดียว นี่ไม่นับว่าในการบรรจุลงคอนเทนเนอร์ขึ้นเครื่องนั้นก็จะมีการวางกระเป๋าซ้อนกันหลายๆ ชั่น เพราะต้องบริหารเนื้อที่ในการบรรจุ ซึ่งเราไม่ทราบหรอกครับว่ากระเป๋าเดินทางของเราจะต้องโดยทับซ้อนอยู่ด้านล่าง หรือ อยู่ด้านบน และ กระเป๋าที่มีล้อลากได้นั้นจะทำให้เราสามารถเคลื่อนย้ายได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ
4. ห้ามใส่ของมีค่าไว้ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อย่างเด็ดขาด รวมถึงของสด ของมีกลิ่นแรงอื่นๆ เพราะนอกจากเป็นคำเตือนของทุกสายการบินแล้ว ยังเป็นการป้องกันไม่ให้สิ่งของมีค่าของเราตกอยู่ในความเสี่ยงโดยไม่จำเป็นอีกด้วย ไม่ว่าจะมาจากการลักขโมย หรือ การสูญหายด้วยรูปแบบอื่นๆ ก็ตาม แต่ถึงจะมีคำเตือนแล้วก็ยังมีนักเดินทางหลายๆ ท่าน ใส่ทั้งเงินสดเครื่องเพชร กล้องถ่ายรูป ฯลฯ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ได้เตือนไว้แล้วก็จะมักจะพูดกันว่า “รู้งี้…” กันซะเกือบทุกคน
5. อย่าลืมสิ่งของสำคัญและข้าวของที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ชุดเครื่องสำอางค์, ยาสีฟัน, แปรงสีฟัน, มีดโกนหนวด, สเปรย์ดับกลิ่นตัว, ยาสระผม, ครีมทาผิว,ยารักษาโรคประจำตัว (อย่าลืมแบ่งส่วนนึงไว้ในกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่ติดตัวไว้ด้วย) และ อีกอย่างคือหมวกอาบน้ำ เพราะแม้จะเป็นเครื่องใช้พื้นฐานที่โรงแรมมักจะจัดเตรียมไว้ให้เราได้ใช้ แต่ในปัจจุบันหลายๆ แห่งก็ตราหน้าว่าเป็นขยะพลาสติก เลยพาลไม่มีมาให้เราใช้ก็หลายแห่งนะครับ คนไทยเราหลายคนถ้าอาบน้ำแบบไม่มีหมวกสวมนี้จะรู้สึกหงุดหงิน ดังนี้ถ้าเราเตรียมเอาไปเองด้วยก็จะดีครับ
6. ถุงพลาสติดสำหรับใส่เสื้อผ้าใช้แล้ว เหมือนกับหมวกอาบน้ำครับ โรงแรมโดยมากจะมีถุงพลาสติกให้เราได้ใช้ซึ่งโดยมากจะเป็นถุงพลาสติกที่เขาเตรียมสำหรับการส่งซักเสื้อผ้า หรือ Laundry ซึ่งเราสามารถนำมาใช้ใส่เสื้อผ้าที่ใช้แล้วของเราเพื่อไม่ให้ปะปนกับเสื้อผ้าที่ยังไม่ใช้ได้ แต่หลายโรงแรมเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้จัดเตรียมสิ่งนี้ไว้เช่นเดียวกับหมวกอาบน้ำ หรือ ถ้ามีบางทีก็เป็นถุงผ่าสวยหรู่จนเราไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะให้นำเราติดตัวกลับไปด้วยหรือไม่ ? ดังนั้นเราจึงควรเตรียมถุงพลาสติกใบใหญ่ๆ ไปกับเราด้วยสักหนึ่งใบก็พอจะช่วยเรื่องการแยกเสื้อผ้าที่ใช้แล้วนี่ออกไปได้
7. ควรมีอาหารสำรองสักมื้อนึงติดไปกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กของเราบนเครื่องด้วย เช่น อาหารที่ทานง่ายๆ และไม่ส่งกลิ่น อาจจะเป็นจำพวกแซนด์วิช หรือ เบเกอร์รี่อะไรประเภทนี้ก็ได้ครับ ไว้สำหรับกรณีฉุกเฉินที่สายการบินดีเลย์นานๆ หรือว่ามีการกักตัวผู้โดยสารไว้บนเครื่องเป็นระยะเวลาอันยาวนาน เป็นต้น แต่ประเด็นนี้ก็มีข้อควรระมัดระวังนะครับ เพราะอาหารสำรองของเรานั้นมักจะไม่ได้รับการอนุญาตให้นำเข้าประเทศปลายทาง หลายประเทศอาจจะไม่เข้มงวดมาก แต่ถ้าเป็นออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์นี่ถ้าเราแอบซุกซ่อนอาหารเข้าประเทศเขาแล้วโดนจับได้นี่โทษปรับสูงมากทีเดียวครับ แถมไม่ค่อยจะรอดหูรอดตาเจ้าหน้าที่ซะอีกด้วย โดยเฉพาะหากเจอเจ้าหน้าที่สี่ขามาดมๆ นี่บอกเลยครับว่ารอดยากมาก และ การโกหกในแบบฟอร์มว่าเราไม่มีอาหารเข้าประเทศเขา แต่กลับแอบนำเข้าประเทศเขานี่ถือว่าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้เอาเลยทีเดียว ดังนั้นอาหารสำรองต่างๆ เมื่อนำติดตัวไปแล้วถ้าทานไม่หมดให้ทิ้งไว้บนเครื่องบินนะครับ
8. เอกสารและอุปกรณ์ที่จำเป็นอื่น ๆ อาท ใบยืนยันการเข้าพักโรงแรม, รายการเดินทาง, หนังสือเชิญประชุม, ที่อยู่ของสถานที่ที่เราจะเดินทางไป ฯลฯ ถ้าพวกนี้ต้องพิมพ์เป็นเอกสารก็ควรพิมพ์ไปด้วย เพราะอาจมีการขอดูจากทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และ ควรจัดเก็บเป็นไฟล์ไว้ในมือถือของเราด้วยนะครับ เผื่นไว้ในกรณีที่ฉุกเฉินนอกจากนั้นก็ยังมี ที่ชาร์ตแบตโทรศัพท์มือถือ, อเแดปเตอร์ปลั๊กไฟ, จาน, ช้อน และ มีดเล็กๆ สักด้ามสำหรับปอกผลไม้หรือใช้ตัดสิ่งของ และ สุดท้ายก็อย่าลืมสมุดโน้ตพร้อมปากกาสักด้ามด้วยนะครับ
9. อย่าลืมควบคุมน้ำหนักของกระเป๋าเดินทาง อันนี้สำคัญมากนะครับ หลังจากทีเรานึกโน่นนึกนี่แล้วหยิบเตรียมไปด้วย จะเห็นว่าสัมภาระเราชักจะมีกองที่โตขึ้นๆ เพราะว่าดูเหมือนอะไรก็จะจำเป็นไปซะทั้งหมด แต่….เดี่ยวนี้สายการบินหลายสายไม่ได้ให้น้ำหนักสัมภาระเราแบบรวมไปในตั๋วได้คนละ 20-30 กิโลกรัมเหมือนเมื่อก่อน หลายสายการบินโดยเฉพาะที่แจ้งว่าเป็น Low cost Airlines นี่แหละครับที่มีการคิดค่าน้ำหนักสัมภาระของเราแยกออกมาต่างหากจากค่าตั๋วโดยสาร ยิ่งสัมภาระมากก็ต้องยิ่งจ่ายมากตามน้ำหนักไปด้วย เท่านั้นยังไม่พอนะครับ บางสนามบินเขาจะมีข้อกำหนดที่เข้มงวดชัดเจนเลยว่าถึงเราจะมีปัญญาจ่ายค่าน้ำหนักและสามารถขนสัมภาระไปได้กี่ใบก็ตามแต่น้ำหนักต่อสัมภาระ 1 ใบนั้นจะต้องไม่เกิน 25 กิโลกรัม เพราะถ้าชั่งน้ำหนักแล้วเกิน เขาจะไม่อนุญาตให้เรานำสัมภาระขึ้นเครื่อง หรือ ต้องให้เราจัดแบ่งกระเป๋าให้มีน้ำหนักไม่เกินข้อกำหนดน้ำหนักสูงสูดของทางสนามบินที่ระบุไว้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการคุ้มครองสวัสดิภาพแรงงานของเจ้าหน้าที่ที่มายกขนสัมภาระไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหรือความเจ็บป่วยจากการขนสัมภาระนั่นเองครับ ซึ่งถ้ามีกรณีอย่างที่ว่านี้ทางสายการบินจะถูกสหภาพฟ้องร้องเป็นจำนวนเงินก้อนโตเลยทีเดียว
10. ประการสุดท้าย อย่าลืมทำสัญลักษณ์กระเป๋าเดินทางของเราไว้ด้วยนะครับ เอาให้รู้ว่าเมื่อเห็นกระเป๋าของเราอยู่บนสายพานเราก็สามารถที่จะจำแนกได้ทันที อาจจะเป็นการ
ติดแท็ก หรือ ริบปิ้น, สายคาด ฯลฯ เพื่อให้กระเป๋าเดินทางของเราแตกต่างจากกระเป๋าเดินทางที่มีลักษณะที่ใกล้เคียงกันเพื่อป้องกันความสับสน และที่สำคัญอย่าลืมเก็บรักษาแท็กกระเป๋าที่เจ้าหน้าที่ (หรือตู้อัตโนมัติ) ให้เราไว้ตอนที่เช็คอินสัมภาระที่สนามบินต้นทาง เพราะถ้ามีการเรียกตรวจเราก็สามารถสำแดงได้ว่าเป็นกระเป๋าของเราจริงๆ หรือถ้ากรณีกระเป๋าสูญหายเราก็ยังสามารถใช้ติดตามกระเป๋าเดินทางของเราได้อีกด้วย
เป็นอย่างไรบ้างครับ สำหรับ 10 ข้อพึงปฏิบัติในการจัดกระเป๋าเดินทางไปต่างประเทศของเรา หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับนักเดินทางมือทั้งใหม่และเก่าทุกคนนะครับ.